โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ประสาทในสมองส่วนกลาง ส่งผลให้เกิดอาการสั่น เคลื่อนไหวช้า กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง เดินลำบาก ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ พูดช้า เสียงค่อย น้ำลายไหล และอาจมีอาการทางจิตใจร่วมด้วย เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล อารมณ์แปรปรวน เป็นต้น
การรักษาโรคพาร์กินสันในปัจจุบัน มุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการและชะลอการดำเนินของโรค โดยแพทย์อาจพิจารณาเลือกใช้การรักษาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีร่วมกัน ดังนี้
- การใช้ยา ยาที่ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมีหลายชนิด แต่ละชนิดออกฤทธิ์แตกต่างกันไป โดยแพทย์จะพิจารณาเลือกยาที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วยแต่ละราย ยาที่ใช้รักษาโรคพาร์กินสัน ได้แก่
- ยาเลโวโดปา (L-dopa) เป็นยาหลักในการรักษาโรคพาร์กินสัน ช่วยให้ร่างกายสร้างสารโดพามีนมากขึ้น
- ยาอะแมนตาดีน (Amantadine) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสารโดพามีน
- ยาคาร์บิโดปา (Carbidopa) ช่วยยับยั้งการย่อยสลายของเลโวโดปา
- ยาโดปามิเมมิกส์ (Dopamine agonists) ช่วยกระตุ้นตัวรับโดพามีน
- ยาต้านโคลินเอสเตอร์เรส (Anticholinergics) ช่วยยับยั้งการทำงานของสารอะเซทิลโคลีน สารสื่อประสาทที่อาจขัดขวางการทำงานของสารโดพามีน
- การผ่าตัด การผ่าตัดฝังเครื่องกระตุ้นสมองส่วนลึก (Deep brain stimulation) เป็นการผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้าขนาดเล็กเข้าไปในสมองส่วนกลาง เพื่อส่งกระแสไฟฟ้าไปกระตุ้นสมองส่วนกลาง ช่วยให้อาการสั่นและการเคลื่อนไหวดีขึ้น
- กายภาพบำบัด กายภาพบำบัดช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ช่วยให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น
- การดูแลตนเอง ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันควรดูแลตนเองด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบทั้ง 5 หมู่
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบุหรี่
- ลดความเครียด
โรคพาร์กินสันเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษาอย่างเหมาะสมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข